เมื่อวันก่อนมีโอกาสได้ล็อคขายของซึ่งเป็นโซนอาหารที่ตลาดนัดรถไฟรัชดามาครับ ตลาดนัดรถไฟนี่จะเป็นตลาดเย็นครับ คนที่เดินก็จะเป็นกลุ่มวัยรุ่น ของที่ขายในตลาดก็จะออกชิคๆแนวๆ นิดนึง วันที่ได้ล็อคมานั้นคือคืนวันพุธ แต่วันที่จะต้องไปขายคือวันพฤหัสบดีถึงวันอาทิตย์ นั่นแสดงว่ามีเวลาไม่ถึง 24 ชั่วโมงที่จะต้องหาอาหารอะไรสักอย่างไปขาย
เนื่องด้วยทักษะทางด้านอาหารของตัวเองต่ำเตี้ยเรี่ยดิน หุงข้าวสวยได้ข้าวต้ม เจียวไข่ฟองเดียวถึงขั้นต้องล้างครัวนั้น เลยยกหน้าที่นี้เป็นของแฟนไปครับ เพราะแฟนผมนี่การทำอาหารคือการบำบัดของเธอเลย ดูซิว่าการทำอาหารขายจะบำบัดอะไรได้รึเปล่า
เมื่อระยะเวลากระชั้นชิด การคิดอย่างรวดเร็วก็คงเป็นคำตอบที่ดีที่สุดในเวลานี้ และคำตอบของคำถามที่ว่าจะขายอะไรดีนั้นก็คือ…เต้าหู้ทอด และเปาะเปี๊ยะทอดครับ
ทำไมถึงขาย 2 อย่างนี้
– ประเด็นแรกยังไม่มีใครขาย
– ประเด็นที่สองเตรียมวัตถุดิบง่าย
– ประเด็นที่สามตลาดนัดรถไฟรัชดาได้ลงในไกด์บุ๊คของจีนว่าเป็นสถานที่ที่ต้องมาเพราะฉะนั้นน่าจะจับกลุ่มคนจีนได้ด้วย
– ประเด็นสุดท้ายเปาะเปี๊ยะพลิกแพลงไส้ที่จะนำมาขายได้
เพราะฉะนั้นสิ่งที่จะทำต่อไปก็คือนอนพักผ่อนให้เต็มที่ เพราะวันต่อมาต้องเตรียมตัวซื้อของในตอนเช้า และขายในตอนเย็นครับ
วันพฤหัสบดี
ในวันแรกที่ขายนี้ตัดสินใจขายแค่อย่างเดียวก่อนครับ นั่นคือเต้าหู้ทอด เพราะง่ายสุด แค่มีน้ำมันกับเต้าหู้ซึ่งเอาไปทอดที่ตลาด และน้ำจิ้มก็มานั่งเตรียมในช่วงเช้า นั่นคือสิ่งที่คิดว่าง่าย เตรียมของจิ๊บๆแปปเดียวก็เสร็จ แต่ไม่ใช่เลยเพราะยังมีรายละเอียดอย่างอื่นที่ต้องไปหาซื้ออย่างเช่นภาชนะใส่อาหาร เตาแก๊ส ตะหลิว ผ้าปูโต๊ะ ป้ายโปรโมต และอื่นๆอีกเพียบ รวมไปถึงการซื้อเต้าหู้จำนวนมากเป็นเรื่องยาก เพราะจะมีร้านไหนที่จะขายเต้าหู้หลายสิบก้อนหละ ทำให้ต้องตระเวณเหมาเต้าหู้จากร้านต่างๆมารวมกันให้ได้ปริมาณที่ต้องการ ทำให้แค่เตรียมของก็ถือว่าหนักหนาสาหัสเอาการประมาณนึง เพราะมีเวลาไม่มาก ประกอบกับการที่มีเพียงสองคนก็เล่นเอาเหงื่อตก เหนื่อยหยักก่อนที่จะเริ่มเปิดร้านซะแล้ว
เริ่มเปิดร้าน…ห้าโมงเย็น อุปสรรคอย่างนึงในการขายครั้งแรกคือสถานที่ที่ไม่คุ้นเคย ไม่รู้ว่าอะไรอยู่ตรงไหน โหลดของยังไง จอดรถที่ไหน ลูกค้าเป็นอย่างไร ก็เก้ๆกังๆกันไปจนตั้งร้านสำเร็จออกมาพอเป็นรูปเป็นร่าง แต่ดันแจ๊คพ็อตมาเจอวันที่คนเดินน้อย ทำให้ขายไม่ดี พยายามสร้างแรงดึงดูดใจจากการขายเฉยๆ ก็ให้มาลองชิม ก็ยังขายได้น้อย สรุปขายวันแรกก็ขาดทุนเพียบแล้ว ได้กำไรไม่ถึงค่าเช่าที่เลยครับ บวกกับค่าจอดรถที่แพงมหาศาลจากในห้าง เพราะไม่รู้เรื่องที่จอดรถ แต่พอไปคุยกับคนรู้จักที่มาขายก็บอกว่าวันแรกๆก็ประสบปัญหาเดียวกัน เพราะลูกค้าไม่รู้ว่ามีร้านเราตั้งอยู่ที่นี่ ไม่รู้ว่ามีของสิ่งนี้ขาย และรสชาติเป็นอย่างไร ก็โอเค ทำใจให้ผ่านพ้นวันแรกไป กับเต้าหู้ที่เหลือกองพะเนิน ในเวลาเที่ยงคืน ซึ่งกว่าจะกลับถึงบ้าน ล้างอุปกรณ์ทุกสิ่งทุกอย่างก็ปาเข้าไปตีสาม หมดแรง
วันศุกร์
วันนี้เพิ่มเมนูนอกจากเต้าหู้ทอดที่ขายไม่ค่อยจะได้แล้วคือเปาะเปี๊ยะ แต่เพราะมีกลุ่มวัยรุ่นมาเดินอยู่เยอะ เปาะเปี๊ยะทอดแบบดั้งเดิมที่ใส่ผักนั้นอาจจะขายยากเกินไป จึงเพิ่มมาเป็นเปาะเปี๊ยะแฮมชีสเข้ามา จับกลุ่มเป้าหมายสักหน่อย ทำให้ช่วงเช้าต้องมาเตรียมกับวัตถุดิบที่ยังขาดอยู่ ซึ่งร่างกายยังคงอ่อนเพลียจากเมื่อวานที่ใช้แรงงานอย่างหนักหน่วง ประกอบกับระยะเวลานอนที่เรียกได้ว่าน้อยมาก ทำให้ไม่มีแรงเต็มที่ในการที่จะทำอะไร ก็ต้องอาศัยลูกฮึดระดับมหาศาลอยู่เหมือนกัน
กว่าจะเตรียมทุกสิ่งทุกอย่างเสร็จ กว่าจะไปถึงตลาดก็เรียกได้ว่าแทบไม่ได้พักเลยทีเดียวเพื่อแลกกับสินค้าที่ทำให้ร้านดูมีความหลากหลาย และตรงกลุ่มเป้าหมายมากขึ้น แต่อุปสรรคก็ยังคงตามมาอย่างต่อเนื่อง
ฝน…คือสิ่งที่เราควบคุมมันไม่ได้ ใช่ครับ ฝนตกห่าใหญ่ในเย็นวันศุกร์ตอนที่ตั้งร้านเสร็จแล้ว ทอดเต้าหู้เสร็จแล้ว ขายได้แล้วสองชุด และกำลังทอดอาหารเผื่อไว้สำหรับขายคนต่อๆไป แต่ดีที่ร้านมีเต้นท์กันฝน แต่ด้วยความที่ลมแรง และการคลุมเต้นท์ที่ไม่เร็วพอ ทำให้อาหารที่ทอดไว้แล้วนั้นเปียกฝน พอฝนหยุด คนเริ่มออกมาเดินก็ต้องทิ้งอาหารที่โดนฝน และมาทอดใหม่อีกครั้งนึง ซึ่งในวันนี้ก็ขายได้ไม่ต่างจากเมื่อวานครับ ยังคงขาดทุนอย่างต่อเนื่องพร้อมเต้าหู้กองพะเนินเช่นเคย แต่ก็จัดการต้นทุนให้อยู่ในกรอบมากขึ้น อย่างเช่นค่าที่จอดรถที่เริ่มรู้แล้วว่าควรจะไปจอดที่ไหนถึงได้ราคาไม่แพงมาก และหวังต่อไปว่าวันพรุ่งนี้ วันหยุดของหลายๆคนจะมีคนมาเดินมากขึ้น และฝนจะไม่ตกอย่างวันนี้
วันเสาร์
ได้พักผ่อนมากขึ้น เพราะของทุกอย่างได้เตรียมเอาไว้หมดแล้ว และคอยมาดูว่าทำไมคนถึงไม่ค่อยเข้ามาซื้อของที่ร้าน ก็เลยลองทำป้ายชื่อสินค้าให้ดูดีขึ้น เพิ่มขึ้น และใหญ่ขึ้น เพื่อให้เวลาช่วงที่คนเดินเยอะๆจะได้เห็นเด่นชัดว่าขายอะไร สรุปว่าเป็นวันดี ฝนไม่ตก และคนก็มาเดินตลาดเยอะพอสมควร เรียกว่าคึกคักเลยทีเดียว แต่ขายไม่ค่อยดีเท่าไหร่
วันอาทิตย์
วันสุดท้ายของสัปดาห์ และเป็นวันสุดท้ายของการขายของ แม้จะเป็นวันสุดท้ายก็ยังคงต้องพยายามปรับปรุงร้านเพื่อดึงลูกค้าให้เข้าร้านมาให้ได้ เมื่อมองไปยังร้านข้างๆซ้าย-ขวา ปรากฎว่าด้านขวาเป็นร้านน้ำตาลสด ด้านซ้ายเป็นร้านมันเผา บวกกับทำเลที่เป็นล็อคสุดท้ายในการขายอาหาร จึงคิดว่าของหวานสินะที่น่าจะขายได้ เลยเพิ่มเมนูอีกหนึ่งเมนูซึ่งเป็นของหวานขึ้นมานั่นก็คือ เปาะเปี๊ยะกล้วย เมนูอาหารหวานเมนูเดียวในร้านที่คิดว่าน่าจะดึงดูดลูกค้าวัยรุ่นให้มาอุดหนุนบ้าง
เวลาผ่านไปจนตลาดเริ่มวาย สุดท้ายก็ไม่ดีเหมือนเดิม สรุปกับสิ่งที่ทำมา 4 วัน สั้นๆง่ายๆคือคำว่า “ขาดทุน” เต้าหู้เหลือเพียบ กว่าครึ่งที่มาซื้อคือคนรู้จักทั้งนั้น เหมือนเป็นการโปรโมตผ่าน Internet ตั้งร้านปุ๊ปถ่ายรูปแชร์ปั๊ป เพื่อให้รู้ว่ามาขายของที่นี่นะ ใครแวะผ่านมาก็มาอุดหนุนกันได้
สิ่งที่ได้จัดการมากับการขายอาหารครั้งแรกในชีวิต ก็เรียนรู้ว่า- เหนื่อยโคตรๆ กับการเตรียมของ โดยเฉพาะครั้งแรกที่ต้องวิ่งไปซื้อนู่นนี่นั่น แต่พอผ่านไปวันที่ 2-3 ก็เริ่มดีขึ้น จัดการชีวิตได้มากขึ้น- การเตรียมตัวเป็นสิ่งสำคัญ ถ้ามีการสำรวจตลาดก่อนว่าคนชอบ/ไม่ชอบอะไร แล้วซื้อของมาเตรียมได้ถูกก็จะไม่วุ่นวาย และไม่มีของตกค้างเหลืออยู่มากขนาดนี้ โดยเฉพาะการขายอาหารถ้ามีของเหลือจะยิ่งเสียหายมากโดยเฉพาะวัตถุดิบสดที่ไม่สามารถเก็บได้นาน
– โซนของกินส่วนมากลูกค้าจะเริ่มไปที่ร้านประจำก่อน เพราะรู้ว่าอะไรอยู่ตรงไหน ร้านเปิดใหม่อาจจะต้องทำใจ รอให้ลูกค้ารู้จักร้านสักนิดว่าเราขายอะไร ตั้งอยู่ตรงไหน
– การขายของช่วงนี้ยากจริงๆ โดยเฉพาะช่วงนี้เป็นช่วงที่คนเดินเที่ยวแต่ไม่ค่อยใช้เงิน