ส่วนตัวแล้วเป็นแฟนคลับรายการวิทยุรายการนึง ชื่อว่ารายการ “จดหมายเด็กแมว” ทาง Cat Radio
จดหมายเด็กแมว เป็นรายการตอบจดหมายทางวิทยุครับ ใช่แล้วอ่านกันไม่ผิดหรอก รายการตอบจดหมายทางวิทยุ Concept อาจจะฟังแล้วแบบ…ใครจะมาเขียน แต่ถ้ารายการนี้มาอยู่ในคลื่นอย่าง Cat Radio ที่อดีตเคยเป็นคลื่นเด็กแนวอย่าง Fat Radio มาก่อน และ มีคนตอบจดหมายอย่าง พี่ยักษ์ คมสัน นันทจิต , พี่บอย ตรัย ภูมิรัตน และ พี่เล็ก Greasy Cafe แล้วหละก็ไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน
นึกครึ้มครับ อยากเขียนจดหมายไปทางรายการบ้าง คำถามก็ผุดขึ้นมาในหัว แล้วจะเขียนเรื่องอะไรดีนะ ในใจคิดว่าอยากเขียนเรื่องดีๆ สนุกๆ ฟังไปยิ้มไป สรุปสุดท้ายก็มาจบตรงที่เขียนเรื่องของความรักตัวเองไปแล้วกัน ซึ่งเนื้อหาจดหมายก็เป็นแบบนี้
สวัสดีครับพี่ๆจดหมายเด็กแมว
ก่อนอื่นก็ขอแนะนำตัวก่อนดีกว่า ผมชื่อ beerboy ครับ นี่ก็เป็นจดหมายฉบับแรกของผม แม้ว่าจะเป็นจดหมายฉบับแรก แต่ผมก็เป็นผู้ฟังจดหมายเด็กแมวและ Cat Radio มานาน แต่ผมไม่ค่อยจะได้ฟังจดหมายเด็กแมวช่วงออกอากาศสดเลยครับ ชอบมาฟังย้อนหลัง รู้สึกว่ามีสมาธิในการฟังมากกว่า ผมชอบฟังรายการช่วงขับรถครับ ขับรถไปฟังพวกพี่ๆไปก็เพลินดี ไม่ต้องเครียดกับการจราจรที่อยู่ตรงหน้ามากนัก
เห็นหลายคนมาปรึกษาเรื่องความรักกับพวกพี่ๆ ฟังไปก็นึกถึงตัวเองสมัยก่อนไป มีทั้งโมเม้นท์แอบชอบเพื่อน โมเม้นท์อยากจีบ หรือแม้กระทั่งโมเม้นท์อกหัก ผมเชื่อว่าร้อยละ 90 มีโมเม้นท์แบบนี้กันทั้งนั้น ผมเลยอยากจะมาเล่าโมเมนท์ดีๆของตัวเองให้คนอื่นได้ฟังกันครับ
ในช่วงชีวิตผมเคยทำรายโทรทัศน์เรียลลิตี้รายการนึงครับ เพราะความเป็นเรียลลิตี้ผมจึงต้องอาศัยอยู่ที่ทำงานเกือบตลอด แล้วผมก็ได้เจอกับสาวคนนึงครับ หน้าตาเธอไม่ได้โดดเด่นอะไร แต่เธอเป็นคนอารมณ์ดีครับ ผมก็มองเธอว่าเป็นคนน่ารักดี อยู่ด้วยแล้วมีความสุข แต่ก็ไม่ได้อะไรเพราะตอนนั้นผมมีแฟนอยู่แล้วครับ ระหว่างที่รายการดำเนินไป ผมก็ทำงานไป แล้วก็เกิดเหตุการณ์ที่สะบักสะบอมกับชีวิตมากๆ ผมเลิกกับแฟนครับ เรียกได้ว่าทำงานไป น้ำตาแทบไหลไป เพราะรายการก็ต้องดำเนินต่อไปหยุดไม่ได้ ชีวิตช่วงนั้นเรียลลิตี้พอๆกับงานที่ทำเลยครับ
เวลาก็ดำเนินต่อไป เป็นช่วงเวลาที่ผมเริ่มทำงานใกล้ชิดกับสาวน้อยอารมณ์ดีคนนั้นครับ จากสภาวะอกหักก็ดีขึ้น และเริ่มมีใจให้สาวน้อยคนนั้น แต่ผมก็หักห้ามใจตัวเองครับ เพราะไม่อยากให้เธอเป็นแค่ตัวแทนคนคลายความเศร้าในช่วงเวลาที่อ่อนแอของผม เป็นอย่างนั้นอยู่จนจบซีซั่นของเรียลลิตี้ และต่างคนต่างแยกย้ายไปในทางของตัวเอง
ระยะเวลาผ่านไปใจผมเริ่มกลับมาแข็งแรง ผมก็เริ่มคุยกับผู้หญิงคนอื่นอยู่บ้าง แต่เพราะความรู้สึกที่ยังไม่ใช่จึงไม่มีใครที่อยู่ในฐานะที่เรียกว่า “แฟน” ได้เลย ส่วนสาวน้อยอารมณ์ดีคนนั้นก็มีคุยกันบ้างจากกรุ๊ปที่ Chat คุยงานสมัยที่ทำเรียลลิตี้ ที่ถูกปรับมาเป็นกรุ๊ปคุยเล่น แต่ก็เรียกได้ว่าปฎิสัมพันธ์ที่มีต่อกันนั้นน้อยเหลือเกิน นานๆทีกรุ๊ปถึงจะ Active ความใกล้ชิดในช่วงนั้นก็เริ่มหายไป
จนกระทั่งวันหนึ่ง จำไม่ได้ว่าใครทักใครก่อน แต่ด้วยความที่ต่างคนต่างไม่ได้เจอกันนาน ก็ชวนกันไปกินข้าวอัพเดทชีวิตกันในฐานะเพื่อน เพราะความรู้สึกแบบนั้นได้หายไปแล้ว และเป็นช่วงที่ผมกำลังคุยกับคนอื่นอยู่ด้วย การที่ได้กลับมาเจอกันอีกครั้งก็เรียกได้ว่ารู้สึกดีนะครับ ยังคุยกันเฮฮาเหมือนเดิม และหลังจากมื้อนั้นก็ทำให้ผมเริ่มกลับมาคุยกับเธอมากขึ้น เพราะเธอชอบอะไรที่คล้ายๆผม ความรู้สึกดีๆก็เริ่มกลับมาอีกครั้ง และมากขึ้นในแต่ละวัน ส่วนเธอก็รู้สึกดีกับผมเช่นกัน ผมจึงตัดสินใจเลิกคุยกับผู้หญิงที่คุยอยู่ เพราะผมไม่อยากห่างจากเธอไปอีกแล้ว และเราตัดสินใจคบกันเป็นแฟน
มาจนถึงตอนนี้ผมคิดว่า ผมตัดสินใจถูกแล้วที่เลือกเธอมาเป็นแฟนครับ แม้ว่าในฐานะตอนนี้อาจจะเรียกว่าเป็นแฟนกันไม่ค่อยจะได้ เพราะหลังจากคบกันมาปีกว่าๆ ผมมั่นใจกับผู้หญิงคนนี้มาก ตอนนี้ผมกับเธอเป็นคู่หมั้นกันครับ และมีแพลนว่าจะแต่งงานกันช่วงปลายปีนี้
ผมเคยคิดว่าถ้าจะขอใครสักคนมาเป็นคู่ชีวิต ผมอยากจะมอบเพลงๆนึงให้กับคนๆนั้นครับ และผมก็ได้มอบเพลงนั้นให้กับเธอไปแล้วในการขอเธอแต่งงาน นั่นคือเพลง “แต่งงาน” ของวง Moor ครับ
มาจนถึงตอนนี้ทำให้ผมนึกย้อนไปสมัยมีความรักช่วงแรกๆนะครับ เราผ่านอะไรมาเยอะเหลือเกิน ความตื่นเต้นที่ได้จับมือคนที่เรียกว่าแฟนครั้งแรก ความสุขล้นปรี่ที่ได้อยู่ด้วยกัน ความเศร้าที่แทบเป็นแทบตายจากการเลิกกัน จนมาถึงช่วงนี้ช่วงที่กำลังจะแต่งงาน หลายคนมองว่าการแต่งงานเป็นการเริ่มต้นชีวิตคู่ แต่ผมกลับมองการแต่งงานคือก้าวต่อไปของชีวิตคู่มากกว่า เพราะการเริ่มต้นของชีวิตคู่เนี่ยมันเริ่มต้นตั้งแต่ที่ทั้งคู่ได้รู้จักกันแล้ว
และนี่เป็นจดหมายสายสีชมพู ที่อาจจะทำให้หลายๆคนต้องอิจฉา ก็แหงหละครับ ความรักคือสิ่งสวยงามสำหรับทุกคนอยู่แล้ว แม้ว่าในชีวิตความรักอาจจะเป็นสีหม่นไปบ้าง แต่ผมเชื่อว่าความหม่นมันอยู่กับเราไม่นานหรอกครับ เหมือนกับท้องฟ้าที่มันไม่มีวันครึ้มตลอดไป เป็นกำลังใจให้สายเหงาสีหม่นครับ
beerboy
บางทีการแบ่งปันเรื่องราวดีๆและสวยงามให้คนอื่นได้รับฟังบ้างมันก็น่าจะดีเหมือนกัน ดีกว่าการเอาเรื่องราวที่ไม่สบายใจ ไปโยนให้ใครต่อใครรับรู้ในโลกออนไลน์โดยที่ไม่ได้ประโยชน์อะไรเลย